“ที่ไหนมีสังคม ที่นั่นมีกฎหมาย” แปลมาจากภาษาลาตินว่า “Ubi societas, ibijus” หมายความว่า เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ จะต้องมีกฎระเบียบ แต่เดิมกฎระเบียบนั้นกำหนดมาจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนในสังคม คือเป็นกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมและจารีตประเพณีที่ชุมชนนั้นประพฤติปฏิบัติถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนเป็นกฎหมายประเภทหนึ่ง
แต่มิได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อสังคมนั้นเจริญเติบโตมากขึ้น สภาพของสังคมเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาที่เกิดขึ้นในสัง คมนั้นสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะตัดสินได้ด้วยจารีตประเพณี จำเป็นต้องบัญญัติกฎหมายบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับแก้ปัญหาเป็นเรื่อง ๆ ไป
เหตุฉะนี้ กฎหมายของสังคมสมัยใหม่จึงมีสองประเภท ประเภทหนึ่ง คือเป็นกฎหมายที่อยู่ในรูปของจารีตประเพณี อีกประเภทหนึ่งเป็นกฎหมายที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
กฎหมายไทยนั้นมีช่วงการปรับเปลี่ยนที่สำคัญเพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับสังคม ๔ ช่วง เริ่มต้นตั้งแต่กำเนิดของสังคมไทยจนถึ งสมัยสุโขทัย ช่วงนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่มาจากจารีตประเพณีดั้งเดิม นับว่าเป็นกฎหมายของไทยแท้ ๆ
ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรามีกฎหมาย ๒ ลักษณะ ๆ หนึ่ง คือ “คัมภีร์พระธรรมศาสตร์” เป็นกฎหมายแม่บทที่เ รารับมาจากอินเดียผ่านทางมอญ อีกลักษณะหนึ่งคือ “ราชศาสตร์” หรือ พระราชวินิจฉัยมูลคดีต่าง ๆ ของพระมหากษัตริย์ แล้วรวบรวมเป็นกฎหมาย พื้นฐานของแผ่นดิน
ช่วงที่ ๓ เป็นช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรับปรุงระบบกฎหม ายให้ทันสมัยโดยอาศัยแบบอย่างจากตะวันตก โดยเฉพาะ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปร ดเกล้า ฯ ให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมและโรงเรียนกฎหมาย
รวมทั้งได้ทรงจัดให้มีการร่างประมวลกฎหมายตามระบบซีวิลลอว์ (CIVIL LAW) จึงทำให้ระบบกฎหมายของไทยทันสมัยมากขึ้น ช่วงสุดท้าย คือ ช่วงที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บทของไทยมาจนถึงทุกวันนี้
ตามหลักพื้นฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูญ จำแนกอำนาจการปกครองออกเป็น ๓ ส่วน คือ อำนาจนิติบัญญัติ รัฐสภาเป็นผู้ใช้ อำนาจบริหาร คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ ใช้ และอำนาจตุลาการ ศาลเป็นผู้ใช้ ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ตรารัฐธรรมนูญ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร
กฎหมายไทยมีลำดับชั้น คือ รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายแม่บท ต่อไปคือ พระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา ผู้ ที่มีอำนาจเสนอพระราชให้รัฐสภาพิจารณา คือ คณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยเสนอผ่านพรรคการเมืองที่สมาชิกผู้นั้นสังกัด
กฎหมายสำคัญที่ประกาศใช้เป็นพระราชบัญญัติ คือ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่ออกเป็นกรณีพิเศษโดยฝ่ายบริหาร
เหตุผลพิเศษที่ฝ่ายบริหารจะออกพระราชกำหนดได้มี ๒ กรณี คือ ในกรณีฉุกเฉินเพื่อรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือในกรณีที่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องพิจารณากันเป็นเรื่องด่วนและลับเพื ่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
พระราชกำหนดมีผลบังคับเพียงชั่วคราวเฉพาะเรื่องเท่านั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องเสนอขออนุมัติต่อรัฐสภา ถ้ารัฐสภาอนุมัติ พระ ราชกำหนดนั้นจึงจะมีผลบังคับใช้เป็นพระราชบัญญัติต่อไป
นอกจากพระราชกำหนดแล้ว ฝ่ายบริหารยังอาจออก “กฎหมายลำดับรอง” ได้หากรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติให้อำนาจไว้ กฎหมายลำดับรองที่ สำคัญ ได้แก่ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่งต่าง ๆ
พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนในสังคม ที่ควรทราบมีดังนี้คือ
พระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร์ พ.ศ. ๒๔๙๙ กำหนดให้หัวหน้าครอบครัวต้องไปแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่เมื่อมีเด็กเกิดในบ้านภายใ น ๑๕ วัน นับแต่วันที่มีเด็กเกิด เมื่อมีคนตาย ต้องแจ้งภายใน ๒๔ ชั่วโมง นับแต่เวลาตาย
การย้ายที่อยู่ ทั้งการย้ายเข้าและย้ายออกต้องแจ้งภายใน ๑๕ วันนับแต่วันย้าย
พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ กำหนดให้บุคคลที่มีสัญชาติไทย ซึ่งมีอายุครบ ๑๕ ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน ๗๐ ปีบริบูรณ์ ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน
พระราชบัญญัติการรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ กำหนดให้ชายไทยทุกคนเมื่ออายุย่างเข้า ๑๘ ปี ต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกิน เมื่อผู้นั้นมีอายุ ๒๑ ปี ต้องไปแสดงตนเพื่อรับหมายเรียกที่อำเภอท้องที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของตน
บุคคลที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องไปแสดงตัวเพื่อลงบัญชีทหารกองเกิน ได้แก่ สามเณรซึ่งสอบเปรียญได้แล้ว และบุคคลผู้ซึ่งอยู่ ในระหว่างการควบคุมหรือคุมขังของเจ้าพนักงาน บุคคลผู้ได้รับการยกเว้นไม่ถูกเรียกแม้ว่าจะไปลงบัญชีทหารกองเกินไว้แล้วก็ตาม ได้แก่ พระภิกษุสามเณร นักบวช ผู้ที่อยู่ระหว่างการฝึกวิชาทหาร ครู และบุคคลที่แปลงสัญชาติเป็นไทย ฯลฯ