คำว่า” การเมือง” จะมีรายละเอียดอย่างไรก็ตามที่เถิด แต่เมื่อกล่าวโดยสรุปความสั้น ๆ แล้วมันก็  เป็นการช่วยกันแก้ปัญหาของ บ้านเมือง หรือสังคมทั้งหมด  หรือของโลกก็ได้ และมุ่งหมายโดยตรงก็คือว่า

๑ ปัญหาที่เกิดมาจากคนอยู่กันมาก ๆ เพิ่มมากขึ้นทุกที เป็นปัญหาอย่างเดียวกันทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะในระดับเล็ก หรือระดับกลางหรือระดับใหญ่

ขอให้ท่านนึกถึงคำว่า การเรือ แล้วก็คือ การบ้าน แล้วก็ การเมือง แล้วก็ การโลก ซึ่งต่อไปอาจจะมีถึงคำว่า การจักรวาล คือทุก ๆ โลกรวมกัน มันมีปัญหาเกิดขึ้นมาอย่างเดียว คือปัญหาเกิดมาจากการที่สัมพันธ์ ติดต่อกันมากคนขึ้น ถ้าไม่มาอยู่กันมากคน ไม่มาเกี่ยวข้องกันมากคนปัญหาชนิดนี้ไม่เกิด พอเกิดมาอยู่กันมากคน มันก็เกิดปัญหาขึ้นและเพิ่มมากขึ้นภายในบ้านเรือนหลังหนึ่งมันก็มีปัญหาที่ เกิดจากการที่อยู่กันหลายคนถ้าจัดไม่ดี มันก็อยู่กันไม่ได้ อยู่กันด้วยความทนทรมาน คิดดูเถอะนะคะแม้แต่ในบ้านเดียวกันแท้ ๆครอบครัวเดียวกันแท้มันก็ยังต้งมีการจัดการทำอะไรบางอย่างให้มันถูกต้อง มันจึงจะอยู่กันได้อย่างผาสุก

ทีนี้ จึงขยายออกไปถึงหมู่บ้าน มีหลายเรือน จำนวนคนมันก็มากขึ้นปัญหามันก็มีมากขึ้น ก็ยิ่งจัดได้ยากขึ้นไปอีก ต่อเมื่อจัดได้จึงจะเรียกว่าอยู่กันเป็นผาสุก ทีนี้มันขยายออกไปถึงประเทศทั้งประเทศ มันก็ยิ่งเห็นได้ว่าจำนวนคนมันมากขึ้นกรณีอย่างประเทศไทยเรานี้ ก็เคยได้ยินว่าตั้ง ๔๐กว่าล้านคนแล้วปัญหาต่าง ๆ มันก็มากขึ้น มันก็ต้องจัดมากขึ้นไปแล้ว

๒.  คำว่า  “  การเมือง “    หมายถึง ปัญหาระดับบ้านเมืองในประเทศ   อย่างนี้ นี่มันอยู่คนเดีวไม่ได้ อยู่ประเทศเดียวไม่ได้ มันจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง กัน เดี๋ยวนี้เรียกได้ว่าจะทุกประเทศแล้ว การเมืองแล้วมันก็เลยขยายออกไปเป็นการโลกเข้าไปแล้ว คือการเมืองของโลกนั่นเอง เดี๋ยวนี้เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า โลกมันเล็กเข้า แคบเข้าเพราะว่าการไปมาหาสู่กัน มักจะสะดวกยิ่งขึ้น จนจะไม่มีเหลืออยู่สำหรับให้อยู่โดดเดี่ยวโดยไม่มีใครรู้จัก สามารถจะได้ถึงทุกคนทุกหนแห่งในโลก มันก็เลยเนื่องกันหมด แล้วยังจะเห็นได้ว่า แต่ละประเทศ มีความมุ่งหมายจัดตั้งทูตของตัวไปประจำประเทศต่าง ๆ ทุกประเทศในโลกทีเดียวถ้าทำได้ และก็ได้พยายามกระทำกันอยู่อย่างนั้น นี่ทำให้เห็นได้ว่า   ทั้งโลกนี้จะมีกี่ประเทศก็ตาม มันจะผูกพันถึงกัน  เกี่ยวเนื่องถึงกัน ปัญหามันก็มากขึ้น  เป็นปัญหาของโลก การโลก หรือ   การเมืองของโลก

ทีนี้อยากจะกล่าวเลยเถิดไปหน่อยนะว่า นานไปวันหน้า จนกระทั่งวามันมีความสามารถไปยังโลกอื่น ๆ ในจักรวาลนี้ก็เป็นได้ ไปมากันเมือนว่าเล่นแล้ว มันก็กลายเป็นปัญหาจักรวาลขึ้นมาทุกที ซึ่งคงจะยุ่งยากลำบากมากยิ่งกว่าที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นเพียงในโลก นี้ ขอให้มองดูการเมืองในลักษณะอย่างนี้ จะเข้าใจได้ในทางที่จะเป็นประโยชน์

๓. ความหมายของ ” การเมือง”   ควรต้องเนื่องด้วยธรรมะ นักภาษาศาสตร์ นิรุกติกศาสตร์ หรือแม้แต่พวกนัก การเมือง เองก็ตาม จะอธิบายความหมายของคำว่า ” การเมือง”  ไว้อย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง อย่างโน้นบ้าง บางอย่างก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่พอจะจับใจความสำคัญ ได้ว่า หมายถึง  การจัด การทำ ให้คนที่อยู่กันมาก ๆ นั้นก็ต้องอยู่ด้วยสันติสุข ด้วยความสงบสุขอย่างแท้จริง มิใช่การอยู่แบบจอมปลอมหลอกลวงกันนะ… นี้คือความหมายของคำว่า การเมือง ที่ถูกต้อง ที่บริสุทธิ์ แต่ถ้าความหมายของการเมือง มันก็จะเปลี่ยนไปไม่ค่อยจะถูกต้องไม่บริสุทธิ์ มักกลายเป็นคดโกง เหมือนอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ เรื่องการเมืองก็เลยกลายเป็นเรื่องคดโกง เรื่องการเอารัดเอาเปรียบระหว่างคนหมู่มาก นั่นเอง

การเมือง จะใสสะอาดนั้นขึ้นอยู่นักการเมืองที่จะลงมาอาสาเป็นผู้แทนต้องมี คุณธรรมจริยธรรมไม่มีความโลภโกรธหลง ต้องยึดหลักธรรมะเป็นประจำใจว่าเมื่อจะมาเป็นนักการเมืองต้องอาสามาปฏิบัติ งานเป็นผู้แทนของประชาชนเจ้าของประเทศ ต้องไม่มีธุรกิจแอบแฝงมาในการเมือง

การเมือง ไทยยังขาดประเด็นนี้อยู่มาก นักการเมืองไม่ทำหน้าทีของความเป็นผู้แทนของประชาชนว่าต้องเข้ามาเพื่อเป็น หูเป็นตาของประชาชนไม่ใช่เพื่อพวกพ้องของนักการเมืองเท่านั้น ต้องมีคุณธรรมจริยธรรม ต้องใช้หลักของธรรม นิติธรรม ไม่ว่าทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีแต่นักการเมืองไม่คำนึงถึงประเด็นนี้